11 months ago / Admin

บลจ.วรรณ ปกป้องนักลงทุนกรณีปัญหา STARK แยกหุ้นกู้ออกจาก 2 กองทุน

วันที่ 9 มิถุนายน 2566 - 10:31 น.
พจน์ หะริณสุต บลจ.วรรณ
พจน์ หะริณสุต

บลจ.วรรณ ดำเนินการ Set Aside หุ้นกู้ STARK รุ่น STARK245A ในกองทุน ONE-FIXED และ ONE-FAR เพื่อรักษาผลประโยชน์ผู้ถือหน่วยลงทุน

วันที่ 9 มิถุนายน 2566 นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด (บลจ.วรรณ) เปิดเผยกรณีบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ไม่ส่งแบบ 56-1 ว่าปัจจุบัน บลจ.วรรณได้มีการลงทุนในหุ้นกู้ STARK245A เพียงรุ่นเดียว ซึ่งมีมติจากการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ของ STARK เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ให้ยกเว้นเหตุผิดนัดกรณีไม่ส่งแบบ 56-1 ทำให้ปัจจุบันสถานะของหุ้นกู้ดังกล่าวยังเป็นปกติ

อย่างไรก็ดี เพื่อรักษาผลประโยชน์และให้เกิดความเท่าเทียมกันของผู้ถือหน่วยลงทุน บลจ.วรรณ จึงพิจารณาคัดแยกตราสารหนี้ที่มีแนวโน้มจะผิดนัดชำระหนี้ (Set Aside) โดย บลจ.วรรณจะดำเนินการ Set Aside หุ้นกู้ STARK245A ที่ได้ลงทุนในกองทุนเปิด วรรณ ชอร์ตเทอม ฟิกซ์ อินคัม หน่วยลงทุนชนิด A (ONE-FIXED) และกองทุนเปิด เอกตราสารหนี้คืนกำไร (ONE-FAR)

ทั้งนี้ หาก STARK ไม่มีการผิดนัดชำระหนี้ และสามารถจ่ายคืนดอกเบี้ย และ/หรือ เงินต้นได้ตามกำหนด บลจ.วรรณจะดำเนินการจัดสรรคืนเงินให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อปรากฏอยู่ในทะเบียนผู้ถือหน่วย ณ วันที่ประกาศ Set Aside โดยบลจ.วรรณ จะดำเนินการ Set Aside ณ วันที่ 8 มิถุนายน 2566

 
 
 
อ่านเพิ่มเติม


11 months ago / Admin

SET ผันผวน เลือกถูกหุ้น ถูกจังหวะ ทำกำไรได้

วันที่ 9 มิถุนายน 2566 - 12:04 น.
SET ผันผวน
คอลัมน์ : เติมความคิด พิชิตการลงทุน
ผู้เขียน : เอกภาวิน สุนทราภิชาติ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด

 

สวัสดีครับท่านนักลงทุน SET หลังการเลือกตั้ง ไม่โดดเด่น ซึ่งเกิดจาก Fund Flow ที่ไหลออกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีปัจจัยหลักกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยแนวนโยบายของพรรคก้าวไกล เช่น ประเด็นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และการปรับกระบวนการทำงบประมาณฐานศูนย์ ทำให้หลายฝ่ายกังวลต้นทุนภาคธุรกิจที่จะเพิ่มขึ้น และกระบวนการทำงบประมาณที่อาจล่าช้ายิ่งขึ้น กดดันความเชื่อมั่นการลงทุน จึงทำให้มีแรงขายในแทบทุกกลุ่ม

โดยเดือน พ.ค. นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่ 4 ที่ระดับ 3.3 หมื่นล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 7.9 พันล้านบาท โดยเพิ่มสัดส่วนการถือครองในหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ วัสดุก่อสร้าง แต่ลดสัดส่วนการถือครองในกลุ่มพลังงาน ICT ค้าปลีก

ขณะที่ performance ของดัชนี MSCI Thailand แย่กว่า MSCI APAC ex. Japan ในช่วง 1, 3 และ 6 เดือนที่ผ่านมา แต่ดีกว่าในช่วง 12 เดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ ในส่วนของประมาณการกำไร ปี 2566 ของ SET นั้น consensus มีการปรับลง 6.40% เช่นเดียวกับไต้หวัน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และจีน ที่ปรับลง 3.53%, 3.25%, 2.59%, 2.47% และ 1.16% ตามลำดับ ตรงข้ามกับฟิลิปปินส์ที่ปรับขึ้น 1.94%

ด้านสรุปผลประกอบการ 1Q66 กำไรตลาดลดลง 8.7%YOY แต่เพิ่มขึ้น 91.1%QOQ โดยบริษัทจดทะเบียนใน SET ทำกำไรสุทธิรวมกันกว่า 3.76 แสนล้านบาท กลุ่มที่มีกำไรสุทธิเติบโตสูงสุด YOY นำโดย กลุ่มท่องเที่ยว รองมาคือ วัสดุก่อสร้าง วัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร ICT ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ธนาคาร ยานยนต์ และสื่อ-สิ่งพิมพ์

ขณะที่กลุ่มที่มีกำไรสุทธิหดตัวมากสุด YOY นำโดย กลุ่มของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน รองมาคือ บริการเฉพาะกิจ ปิโตรเคมี ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ อาหาร เกษตร เหล็ก การแพทย์ แฟชั่น บรรจุภัณฑ์ ก่อสร้าง ขนส่ง และพลังงาน

ด้านแนวโน้ม SET ในเดือน มิ.ย. คาดผันผวนในกรอบ จากความไม่แน่นอนใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่

1) ปัจจัยภายในประเทศด้านการเมืองจากการจัดตั้งรัฐบาล และการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

และ 2) ปัจจัยต่างประเทศ ด้านนโยบายการเงินของเฟด (ธนาคารกลางสหรัฐ) หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่งจากภาคบริการ สร้างความกังวลต่อตลาดที่มองว่า เฟดยังจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวในการขึ้นดอกเบี้ยต่อ

โดย SET มองผันผวนในกรอบ โดยกรอบล่างอยู่ที่แนวรับ 1,500 และ 1,470 จุด ตามลำดับ ส่วนกรอบบนอยู่ที่แนวต้าน 1,550 และ 1,570 จุด ตามลำดับ ทั้งนี้ แม้ SET ยังผันผวน แต่หากใช้กลยุทธ์เชิงรับ รอซื้อสะสมบริเวณ 1,500 จุดลงไป มองจะเป็นจุดรับที่ดี เนื่องจากคาดว่าบริเวณดังกล่าว ดัชนีจะเริ่มมี downside ที่จำกัด และฟื้นตัวได้

อย่างไรก็ตาม ระดับการฟื้นตัวจะขึ้นอยู่กับเสถียรภาพและสูตรการจัดตั้งของรัฐบาลใหม่ ซึ่งคงต้องติดตามต่อไป โดยเฉพาะช่วงเดือน ก.ค. ซึ่งจะมีการเปิดประชุมสภาเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีไทย ด้านหุ้นแนะนำ แนะนำกลุ่มหุ้น 2 ธีม ดังนี้

1) หุ้นที่ได้รับผลกระทบจำกัดจาก MOU 23 ข้อ ที่ 8 พรรคการเมืองร่วมลงนาม เลือก BBL, KTB, KBANK, HMPRO, GLOBAL, BCH, CHG, SPRC, STANLY, AH, ONEE, HTC และ TNP

และ 2) หุ้นที่ InnovestX Research มีการปรับเพิ่ม rating และ/หรือ ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย เลือก KKP, BJC และ OSP

ส่วนกลุ่มที่แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงหรือปัจจัยลบกดดันราคาหุ้น ดังนี้

1) หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม PTT ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือความไม่ชัดเจนของโครงสร้างราคาพลังงานจากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่

2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบอย่างมีนัย จากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลใหม่ ได้แก่ กลุ่มขนส่งพัสดุ (KEX) กลุ่มอาหาร (CPF, ZEN, GFPT, TU, AU และ CENTEL) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (LPN, PSH, SIRI, QH และ AP) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (HANA และ KCE)

และ 3) หุ้นที่ราคาขึ้นมาสูงกว่าโควิด-19 และฝ่ายวิจัย InnovestX Research แนะนำ underperform ได้แก่ AAV, SAWAD, MST และ NRF

แล้วพบกันใหม่ ในคอลัมน์ฉบับหน้า ด้วยรัก และหวังดี

 
 
อ่านเพิ่มเติม